เส้นทางการลงทุนในหุ้น
เส้นทางการลงทุนในหุ้น ขึ้นชื่อว่าเป็นการลงทุุนในตราสารการเงิน ที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด เมื่อเทียบกับตราสารชนิดอื่น ๆ อย่างเงินฝาก หรือตราสารหนี้ แต่อย่าลืมว่า ความเสี่ยงของมันก็สูงที่สุดเช่นกัน
มีหลายคนเดินเข้ามาในตลาดหุ้น แล้วเปลี่ยนฐานะกลายเป็นเศรษฐีได้ ภายในเวลาไม่นาน ขณะเดียวกันตลาดหุ้น ไม่ได้ใจดีกับทุกคน มันทำให้นักลงทุนกลายเป็นคนถังแตกได้เหมือนกันนะ! ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการเลือก “วิธีการลงทุน”
ผมรู้จักหลายคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นเพียงไม่กี่ปี แต่สามารถกลายเป็นเศรษฐีได้ เพราะเขาเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเองตั้งแต่แรก แต่ก็มีอีกหลายคนที่อยู่ในตลาดหุ้นมาตั้งนาน ยังสร้างผลตอบแทนให้เป็นบวกยังไม่ได้เลย เพราะยังลงทุนแบบผิดวิธีอยู่
ถ้าเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง ก็มีโอกาสสูงที่ “หุ้น” จะช่วยเปลี่ยนนักลงทุนธรรมดาให้กลายเป็นเศรษฐี แต่บางคนที่ลงทุนในหุ้นแบบผิดวิธี เงินทั้งหมดก็อาจจะหล่นหายไปกับตลาดหุ้นได้
ใครที่ยังหาแนวทางการลงทุนในหุ้นที่เหมาะสมไม่เจอ วันนี้ผมมีเส้นทางการลงทุนในตลาดหุ้นแบบง่ายๆมาฝาก ใครที่อยากเริ่มต้น และอยากเป็นเศรษฐีด้วยการลงทุนใน “หุ้น” ลองดู 3 เส้นทางที่นำมาฝากกันในวันนี้ได้เลย!!
![](https://ambbet.asia/wp-content/uploads/2020/09/5ce0dae69aea5.jpg)
1. ลงทุนหุ้นแบบนักธุรกิจ คิดแบบเจ้าของกิจการ
“หุ้น” คือ ตราสารที่ให้สิทธิ์กับนักลงทุนในการเป็นเจ้าของกิจการ นักลงทุนจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ในการออกเสียง และได้รับส่วนแบ่งกำไร หรือที่เรียกว่า “เงินปันผล” รวมถึงสิทธิ์พิเศษอื่นๆในบริษัทที่เป็นเจ้าของ
ดังนั้น นักลงทุนที่เลือกเส้นทางนี้ จะต้องคิดให้เหมือนกับว่าตัวเองเป็น”เจ้าของกิจการ”ที่จะเข้าไปซื้อหุ้น มีแนวคิดแบบนักธุรกิจ ที่จะต้องดูว่าธุรกิจไหนเหมาะกับนักลงทุน มีความรู้ความเข้าใจในการดำเนินงานในกิจการนั้นมั๊ย? ผลประกอบการเป็นไปในทิศทางที่ดีมากน้อยแค่ไหน? มีอัตราการเติบโตเป็นอย่างไร? เป็นต้น
แต่จะลงทุนวิธีนี้ ต้องอาศัยการวิเคราะห์กันแบบละเอียด เพื่อเข้าใจในธุรกิจและอุตสาหกรรมนั้นอย่างลึกซึ้ง ต้องอาศัยการวิเคราะห์ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ
การวิเคราะห์เชิงปริมาณ คือการวิเคราะห์จากตัวเลขที่งบการเงินของกิจการแสดงออกมา ซึ่งตัวเลขนั้นสามารถบอกความเคลื่อนไหวต่างๆในกิจการได้อย่างดี บริษัทที่ดีควรมีตัวเลขที่สามารถบ่งบอกที่มาที่ไปได้อย่างชัดเจน ไม่มีการปิดบังผู้ถือหุ้น อย่างเช่น การเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้น ควรบอกได้ว่าเกิดจากการบริหารต้นทุนหรือยอดขาย มีประสิทธิภาพ อย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ยังมีเลขอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ที่ช่วยนักลงทุนในการวิเคราะห์ความน่าสนใจของหุ้นและกิจการนั้นๆได้ เช่น ROE, ROA, P/E, P/BV, NPM, GPM, D/E ratio เป็นต้น ซึ่งความเป็นจริงมีเยอะกว่านี้มากกกกกก (ก.ไก่หมื่นตัว)
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เป็นการดูเรื่องราวอื่นๆของบริษัท ที่ไม่ได้แสดงผ่านตัวเลขในงบการเงิน เช่น ความจงรักภักดีของกลุ่มลูกค้า, สินค้าที่จะเข้ามาทดแทน, อำนาจต่อรองของกิจการ, มูลค่าของแบรนด์ และชื่อเสียงต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์เชิงคุณภาพจะมีเรื่องของอารมณ์และความเชื่อในกิจการนั้นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อย่างเช่น กลุ่มบริษัทอาหาร ที่แม้จะมีผลประกอบการดีเด่น แต่แบรนด์สินค้ากลับติดลบในสายตากลุ่มลูกค้าบางคน อะไรประมาณนี้
ซึ่งนักลงทุนที่เลือกเส้นทางนี้ต้องมองการลงทุนในระยะยาวเป็นหลัก เพราะผลตอบแทนที่จะได้จากเส้นทางนี้คือ “เงินปันผล” เป็นหลัก ส่วน “Capital gain” หรือ การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นเป็นโบนัสพิเศษที่นักลงทุนจะได้ (เผลอๆได้มากกว่าที่หวังไว้ซะอีก)
เส้นทางนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มั่นใจว่าตัวเองถึก มีเวลาในการศึกษาธุรกิจ มองทิศทางธุรกิจออก ไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของตลาด ถือหุ้นได้ในระยะยาว และนักลงทุนต้นแบบของเส้นทางนี้ได้แก่ วอเรนต์ บัฟเฟตต์, ชาร์ลี มังเจอร์, เบนจามิน เกรแฮม, ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ คุณกวี ชูกิจเกษม เป็นต้น
ส่วนการเลือกซื้อหุ้นมีหลายวิธี จะใช้การประเมินมูลค่าหุ้นในการซื้อ เพื่อเลือกราคาที่เหมาะสม หรือ จะซื้อเฉลี่ยต้นทุนแบบ DCA ก็ได้
![](https://ambbet.asia/wp-content/uploads/2020/09/จับจังหวะขาย_coverFB-678x381-1.png)
2. ค้าขายตามจังหวะ ทำกำไรจากราคาหุ้น
ถ้าเส้นทางแรกเราเรียกพวกเขาว่า”นักลงทุน” งั้นเรียกคนที่เหมาะกับเส้นทางนี้ว่า “นักเก็งกำไร” คงจะเหมาะสมมากกว่า
เพราะหุ้นมีการซื้อขายเกือบทุกวัน และราคาของมันก็เป็นไปตามกฏของ Demand/Supply ในตลาดหุ้น หุ้นแต่ละตัวจะมีการเคลื่อนไหวของราคาตามสภาพเศรษฐกิจ ข้อมูลข่าวสารต่างๆของหุ้น ซึ่งนักเก็งกำไรจะซื้อขายตาม ข้อมูลที่ได้รับมา
เครื่องมือของนักเก็งกำไรหรือนักลงทุนแนวเทคนิค คือ “กราฟหุ้น” ที่นิยมใช้กันจะเป็นกราฟแท่งเทียน เมื่อนำกราฟมาดูจะพบว่า หลายๆครั้งการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจะมีรูปแบบเดิมๆ และนักเก็งกำไรเชื่อว่าหุ้นจะเคลื่อนไหวแบบเดิมเป็นวัฏจักร
เพราะข้อมูลข่าวสารทั้งหมดในตลาด ทั้งข่าวดี ข่าวร้าย การประกาศผลการดำเนินงาน/ จ่ายเงินปันผล จะถูกซึมซับและแปรเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบของราคา ที่แสดงในกราฟหุ้นเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นนักเก็งกำไรจะใช้กราฟเพื่อการซื้อขาย ดูปริมาณการซื้อขาย ดูแนวรับ/แนวต้าน อีกทั้งยังมี Indicator ต่างๆที่พลอตออกมาจากตัวเลข แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของตลาด จังหวะในการซื้อหรือขาย อย่างเช่น MACD, RSI, Bolinger band, Slow Stochastic เป็นต้น
ซึ่งแนวทางในการดูกราฟก็จะมีหลายวิธี แล้วแต่ความถนัดของนักเก็งกำไรแต่ละคน
ผลตอบแทนที่ได้จะมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นเป็นหลัก ซึ่งความเสี่ยงในการเก็งกำไรจะมีมากกว่าเส้นทางแรกเยอะ เพราะไม่จำเป็นต้องไปดูก็ได้ว่าหุ้นไหนเป็นหุ้นดี ขอแค่มีจังหวะในการซื้อขายก็เพียงพอ ถ้าใครที่ชอบความโลดโผนของราคาหุ้น รับความเสี่ยงได้เยอะ ชอบการเก็งกำไรจะเหมาะกับเส้นทางนี้มากกว่า
ตัวอย่างของนักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ ที่เค้าเทรดทุกอย่างที่ขวางหน้า เทรดในเกมส์ที่ตัวเองถนัด ไม่ใช่แค่การเก็งกำไรในหุ้น และมีแนวทางให้ศึกษา คือ George Soros, Jim Rogers และ Jesse Livermore เป็นต้น
![](https://ambbet.asia/wp-content/uploads/2020/09/std04.png)
3. วางเงินผ่านกองทุนรวมในหุ้น ลงทุนอย่างสบายใจ
สำหรับคนที่ไม่มีเวลาศึกษากิจการ กราฟราคา หรือไม่ถนัดในการวิเคราะห์ แต่อยากลงทุนในหุ้น เพราะคิดว่าผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากแน่นอน
การลงทุนผ่าน “กองทุนรวม” ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเป็นหลัก จะดีกว่าลงทุนในหุ้นด้วยตัวเองโดยตรง เพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารเงินลงทุนให้ และแน่นอนว่าจะต้องมีค่าธรรมเนียม แลกเปลี่ยนกับการดูแลเงินให้เป็นธรรมดา
หน้าที่ของนักลงทุนคือการศึกษานโยบายของกองทุน และข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับกองทุน ซึ่งสามารถหาได้จาก Fund Fact Sheet ของกองทุนที่สนใจ ไม่ยากเลยเนอะ
ประหยัดเวลา และได้ความสะดวกสบายขึ้นอีกเยอะ แต่บางครั้งผลตอบแทนอาจจะไม่ดีเท่าการลงทุนด้วยตัวเองโดยตรงนะ อ่านเพิ่มเติม 90 วัน ออมเปลี่ยนชีวิต สไตล์โยโกยามะ
บทความอื่น ๆ ได้ที่ : ฟาร์มเฮ้าส์ บริษัทขายขนมปัง ที่ปังกว่าโรงกลั่นน้ำมัน!